สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์จัดงาน Vin d’honneur เนื่องในโอกาสวันชาติไทย วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และวันพ่อแห่งชาติ ณ บ้านพักกงสุลใหญ่ฯ

สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์จัดงาน Vin d’honneur เนื่องในโอกาสวันชาติไทย วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และวันพ่อแห่งชาติ ณ บ้านพักกงสุลใหญ่ฯ

วันที่นำเข้าข้อมูล 7 ธ.ค. 2563

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 29 พ.ย. 2565

| 7,550 view
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2563 สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์จัดงาน Vin d’honneur เนื่องในโอกาสวันชาติไทย วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และวันพ่อแห่งชาติ ณ บ้านพักกงสุลใหญ่ฯ โดยมีผู้เข้าร่วม อาทิ ข้าราชการ/เจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่ฯ และทีมประเทศไทย ณ นครโฮจิมินห์ รวมทั้งผู้แทนภาคธุรกิจไทยในเวียดนาม และมีนายเยือง อัน ดึ๊ก รองประธานคณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์เป็นแขกเกียรติยศ และมีบุคคลระดับสูงฝ่ายเวียดนาม ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและสื่อมวลชนของเวียดนาม ตลอดจนคณะกงสุลต่างประเทศ เข้าร่วมด้วย
หลังจากกงสุลใหญ่ฯ ได้ถวายความเคารพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์แล้ว สถานกงสุลใหญ่ฯ ได้ฉายวิดิทัศน์ “เส้นทางแห่งความสุข” จากนั้น นายอภิรัตน์ สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง กงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ ได้กล่าวสุนทรพจน์ สรุปได้ ดังนี้
1. ความสำคัญของวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติไทย และวันพ่อแห่งชาติ
2. ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-เวียดนามที่ยังคงใกล้ชิดกันแม้ในท่ามกลางสถานการณ์ COVID-19 และขอบคุณฝ่ายเวียดนามโดยเฉพาะฝ่ายสาธารณสุข ที่ทำงานหนักและช่วยดูแลชุมชนไทยในเวียดนาม
3. แสดงความยินดีต่อเวียดนามที่ได้ทำหน้าที่ประธาน ASEAN ลุล่วงไปอย่างเรียบร้อย โดยได้จัดการประชุมสุดยอดผู้นำและการประชุมอื่นๆ ในแบบ New Normal และมีส่วนทำให้ ASEAN สามารถลงนาม RCEP ซึ่งเป็นหนึ่งในเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ ตลอดจนยินดีที่เอกชนไทยมีส่วนในการส่งเสริมการค้า 2 ทาง รวมถึงการที่ภาคเอกชนไทยมีส่วนร่วมพัฒนาเศรษฐกิจของเวียดนามผ่านการลงทุนขนาดใหญ่ นอกจากนั้นได้แสดงความยินดีต่อการเข้ารับตำแหน่งของผู้บริหารระดับสูงของนครโฮจิมินห์ เมื่อเร็วๆ นี้
4. เน้นย้ำถึงความสำคัญของมิตรภาพระดับประชาชน โดยเฉพาะการที่ประเทศไทยมีชาวไทยเชื้อสายเวียดนามพำนักอยู่มากกว่า 100,000 คน และยังมีชุมชนชาวเวียดนามที่เคยพำนักในประเทศไทยและเดินทางกลับคืนมาตุภูมิแล้ว แต่ก็ยังผูกพันกับประเทศไทยและกับสถานกงสุลใหญ่ฯ และกล่าวถึงความร่วมมือทางวิชาการและกิจการเยาวชน ที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ยังคงดำเนินอยู่ในลักษณะ New Normal
5. กล่าวถึงกรณีภัยพิบัติทางธรรมชาติในภาคกลางของเวียดนามในช่วงปีนี้ โดยรัฐบาลไทยได้บริจาคเงิน 30,000 ดอลลาร์สหรัฐผ่านสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอยและคณะกรรมการแนวร่วมปิตุภูมิแห่งชาติ (ระดับชาติ) ส่วนในเวียดนามตอนใต้นั้น สถานกงสุลใหญ่ฯ ภาคเอกชนไทยและชุมชนไทยในพื้นที่ก็ได้ร่วมบริจาคเงินกว่า 1,341 ล้านด่ง และสิ่งของมูลค่า 90 ล้านด่ง ตลอดจนหน้ากากอนามัย 25,000 ชิ้น ผ่านคณะกรรมการแนวร่วมปิตุภูมิแห่งชาติ นครโฮจิมินห์
6. ไทยและเวียดนามยังคงเคียงข้างกันก้าวผ่านความท้าทายของโลกในปัจจุบันและใน ปี 2564 ทั้ง 2 ประเทศจะร่วมกันเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 45 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เวียดนาม จากนั้น กงสุลใหญ่ฯ ได้เชิญชวนดื่มอวยพรให้มิตรภาพไทย-เวียดนาม และอวยพรแด่เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์และประธานาธิบดีของเวียดนาม และความรุ่งเรืองของประเทศและประชาชนเวียดนาม
จากนั้นนายเยือง อัน ดึ๊ก รองประธานคณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์ ในฐานะแขกเกียรติยศ ได้กล่าวสุนทรพจน์ สรุปได้ดังนี้
1. แสดงความยินดีและกล่าวสดุดีพระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งทำให้ไทยมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน จนทำให้ไทยสามารถอยู่ในฐานะประเทศ Upper-middle income โดยใช้ระยะเวลาน้อยกว่า 1 ชั่วอายุคน และเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะเจริญรุ่งเรืองต่อไปในรัชกาลปัจจุบัน
2. ในช่วง 44 ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ไทย-เวียดนามแนบแน่นทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และความสัมพันธ์ระดับประชาชน ซึ่งความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม ได้ถูกยกระดับเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในปี 2556 และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่าง 2 ประเทศ ยังคงเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางวิกฤต COVID-19 ที่การค้าทวิภาคีของทั้ง 2 ประเทศในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 มีมูลค่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในช่วง 6 เดือนแรกของปี ไทยมีการลงทุนในเวียดนามกว่า 1,580 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่า เป็นผู้ลงทุนโดยตรงจากต่างชาติที่มีการลงทุนมากเป็นลำดับที่ 2
3. นครโฮจิมินห์สถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้องกับกรุงเทพฯ มาตั้งแต่ปี 2558 และได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ไทยยังมีการลงทุนในนครฯ จำนวน 219 โครงการ ซึ่งมีเงินทุนรวม 454 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นอันดับที่ 12 จาก 111 ประเทศที่มาลงทุนในนครฯ โดยนครโฮจิมินห์มีการค้ากับไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปีคิดเป็น 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังกล่าวถึงการจัดการประชุม “Connecting and Bringing Vietnamese goods into Big C/Go! And boosting export to Thailand in 2020” ที่จัดโดยศูนย์ส่งเสริมการค้าและการลงทุนของนครฯ (ITPC) และ บริษัท เซ็นทรัล เวียดนาม
4. ให้คำมั่นว่าไทยและเวียดนามจะส่งเสริมซึ่งกันและกันเพื่อก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ตลอดจนจะเสริมสร้างความแข็งแกร่งของ ASEAN ซึ่งเป็นบ้านของทั้งไทยและเวียดนาม แล้วเชิญชวนดื่มถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และดื่มอวยพรให้แก่ความรุ่งเรืองของประเทศไทย และมิตรภาพของทั้ง 2 ประเทศ และระหว่างนครโฮจิมินห์กับประเทศไทย
นอกจากนี้ ภายในงาน สถานกงสุลใหญ่ฯ ได้จัดการแสดงชุด “ระบำมณีเมขลา” ซึ่งแสดงโดยนางสุปราณี ฟุนาชิมะ ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ชาวไทยที่พำนักในนครโฮจิมินห์ รวมทั้งจัดมุมแสดงฉากหนึ่งจากบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 9 เรื่องพระมหาชนก พร้อมทั้งคำอธิบายประกอบเพื่อเผยแพร่พระอัจฉริยภาพด้านวรรณกรรม รวมทั้งสื่อถึงแนวพระราชดำริเรื่องความวิริยะพากเพียรตามแนวทางพุทธศาสนาที่ได้พระราชทานไว้ในบทพระราชนิพนธ์ดังกล่าว และเพื่อให้กำลังใจเวียดนามให้สามารถใช้ วิริยะ หรือความเพียรอันไม่ท้อถอย ในการเผชิญความท้าทายต่างๆ ในปีนี้ จนสามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดี นอกจากนี้สถานกงสุลใหญ่ฯ ได้มอบของที่ระลึกแก่ผู้เข้าร่วมงาน โดยได้จัดถุงผลิตภัณฑ์ไทยที่สามารถหาซื้อได้ในนครโฮจิมินห์ เพื่อสนับสนุนและประชาสัมพันธ์สินค้าไทยให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งสถานกงสุลใหญ่ฯ ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนไทยอีกด้วย

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ